ซิป้าเผยส่งคุณสมบัติ ผอ.ใหม่ให้ รมว.ไอซีทีพิจารณาแล้ว คาดไม่เกิน 4 เดือนเห็นผล แจงเหตุล่าช้าเพราะต้องทำตามกฎหมาย

ส่วนกรณีถูกยื่นถอดถอนยกชุดยังไม่คืบ เชื่อไม่ผิด ล่าสุดโชว์ผลสำเร็จการเจรจาธุรกิจงานบีโอไอ เงินสะพัดกว่า 100 ล้านบาท

นายเฉลิมพล ปุณโณทก กรรมการบริหาร รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (ซิป้า) กล่าวถึงความคืบหน้าการสรรหาผู้อำนวยการซิป้าว่า ส่งคุณสมบัติและเคพีไอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) พิจารณาแล้ว คาดว่าไม่เกิน 3-4 เดือนจากนี้จะได้ผู้อำนวยการคนใหม่

ทั้งนี้คุณสมบัติใหม่แตกต่างไปจากเดิมคือ ไม่จำเป็นต้องเก่งด้านเทคนิค แต่ต้องสามารถบริหารจัดการ และประสานงานกับหน่วยงานทั้งภายในและภายนอก ภาครัฐและเอกชน รวมถึงในประเทศและต่างประเทศ ไม่มีธงว่าต้องมาจากภาคส่วนใด

ขณะที่คณะกรรมการสรรหาชุดใหม่ที่จะแต่งตั้งขึ้นจะให้ผู้เชี่ยวชาญใน อุตสาหกรรมเข้ามานั่งเพื่อความโปร่งใส และได้คนที่อุตสาหกรรมต้องการ เบื้องต้นมาจากสมาคมซอฟต์แวร์หลักๆ เช่น เอทีซีไอ เอทีเอสไอ และทีเซ็ป

พร้อมชี้แจงว่า สาเหตุของการสรรหาที่ล่าช้าออกไปมาก เพราะต้องทำทุกกระบวนการให้ถูกต้องตามกฎหมาย

ส่วนความคืบหน้ากรณี รมว.ไอซีที ขอมติคณะรัฐมนตรีปลดบอร์ดยกชุด ฐานกระทำผิด พ.ร.ก.มาตรา 18 บกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถนั้น เขาชี้แจงว่า ทั้ง 3 ข้อไม่เป็นความจริง ล่าสุดที่ว่าจะชี้ขาดวันที่ 22 ก.พ.ก็ยังไม่เห็นว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง

“มีข่าวลือออกมาจำนวนมาก ตัวผมเองแปลกใจเหมือนกันว่าทำผิดอะไร พยายามขอเข้าพบท่านรัฐมนตรีแต่ถูกปฏิเสธมาตลอด ขณะนี้ได้แต่เดาว่าสาเหตุคืออะไรกันแน่ เวลานี้เมื่อมีข่าวว่าออกมาส่งผลกระทบทั้งกับการทำงาน และขวัญกำลังใจของพนักงาน”

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าได้เตรียมเอกสารฟ้องกลับ รมว.ไอซีทีจริง ด้วยเหตุที่ว่า ในฐานะคนทำงานหากทำดีอยู่แล้ว เมื่อถูกกล่าวหาจำเป็นต้องปกป้องความเสียหายหรือความเสื่อมเสียที่จะเกิดกับตัวเอง

“เหตุการณ์มันไม่ปกติตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนอะไร เราเองมุ่งมั่นแต่เรื่องการทำงานเป็นหลัก ต้องขออภัยหากทำอะไรที่ผิดธรรมเนียมทางการเมืองไป”

พร้อมระบุว่า สาเหตุการลาออกของนางสาวนิรัชราภา ทองธรรมชาติรักษาการผู้อำนวยการคนก่อนระบุไว้ในจดหมายลาออกว่าต้องการใช้ เวลากับครอบครัวมากขึ้น

เขา กล่าวถึงผลสำเร็จงานบีโอไอแฟร์ 2011 ที่ผ่านมาว่า เกิดมูลค่าการจับคู่เจรจาธุรกิจกว่า 100 ล้านบาท จากคู่เจรจากว่า 312 คู่ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ กลุ่มซอฟต์แวร์ ดิจิทัล คอนเทนท์ รองลงมาคือ กลุ่มท่องเที่ยวและบริการ จากนั้นคือกลุ่มการศึกษา