"พนา" ยอมรับผล กสทช. ยืนยัน "ไม่ฟ้อง"
“พนา”แอ่นอกยอมรับผลคัดเลือก “กสทช.” ยันไม่มีฟ้องร้อง ปฏิเสธความสัมพันธ์เชิงธุรกิจกับ ”อากู๋” แกรมมี่
“พนา”แอ่นอกยอมรับผลคัดเลือก “กสทช.” ยันไม่มีฟ้องร้อง ปฏิเสธความสัมพันธ์เชิงธุรกิจกับ”อากู๋” พร้อมแจงเงินบริจาคให้สว. 84 ล้านบาท ภายใต้โครงการ ”อิ่มบุญ” ขณะที่”สุรนันท์”ฝากกสทช.ชุดใหม่ กำหนดกรอบแผนแม่บทชัดเจน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศ
นายพนา ทองมีอาคม 1 ใน 44 ผู้ถูกเสนอชื่อเข้ารับการคัดเลือกคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า แม้จะพลาดหวังที่ไม่ได้รับเลือกเป็นกสทช.แต่ก็ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นกสทช.ชุดใหม่ทั้ง 11 คน โดยจะไม่ฟ้องร้องใดๆ เพราะยอมรับการคัดเลือกดังกล่าว ขอให้กสทช.ชุดใหม่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว และขอให้สังคมให้โอกาสกสทช.ชุดใหม่ทำงาน และพิสูจน์ฝีมือ
ส่วน ภารกิจที่อยากจะฝากสานงานให้เกิดความต่อเนื่อง คือ การออกใบอนุญาตประกอบกิจการวิทยุชุมชน โทรทัศน์ และผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหม่ ส่วนประกาศใดที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันก็สามารถแก้ไขปรับเปลี่ยน ได้
"สำหรับสิ่งที่ต้องการชี้แจงให้สังคมรับทราบ คือ ความสัมพันธ์กับนายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของประเทศนั้น เป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อน ไม่มีผลประโยชน์และธุรกิจเข้ามาเกี่ยวพันกันแน่นอน ส่วนประเด็นการบริจาคเงินเพื่อโครงการ”อิ่มบุญ” 84 ล้านบาทให้กับวุฒิสภา(ส.ว.)นั้น เป็นโครงการที่ส.ว.ยืนขอมาเอง มิใช่กสทช.นำเสนอเงินให้ และการบริจาคเงินดังกล่าว เกิดขึ้นก่อนกระบวนการสรรหากสทช."
นาย พนา กล่าวว่า รักษาการ กสทช ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีพระบรมโปรดเกล้าแต่งตั้งฯ โดยในวันที่ 7 ก.ย.นี้จะมีการประชุมบอร์ดตามปกติ ส่วนวาระที่จะพิจารณาได้แก่ การพิจารณานำเข้าอุปกรณ์โทรคมนาคม และการอนุมัติใบอนุญาตต่าง ซึ่งเป็นงานประจำ (รูทีน) ที่ทางสำนักงานกสทชฯส่งเรื่องมา โดยมีวาระค้างอยู่ในที่ประชุมร่วม 100 วาระ ดังนั้น หากรักษาการกสทช.ชุดนี้ไม่ประชุม ก็จะทำให้ผู้ประกอบการเอกชนได้รับความเสียหาย
“กรรมการที่เหลือจะมี 4 คนคือ นายประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ รักษาการประธานกสทช. นายสุธรรม อยู่ในธรรม นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร และตัวเอง ส่วนพันเอกนที ศุกลรัตน์ ได้รับเลือกเป็นกสทช.แล้ว ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ แต่คนที่เหลือ 4 คนสามารถอนุมัติงานที่เหลือคั่งค้างได้”
นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร รักษาการกสทช. กล่าวว่า ภารกิจเร่งด่วนที่กสทช.ชุดใหม่ต้องเร่งดำเนินการคือการจัดทำแผนแม่บทกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ซึ่งจะเป็นกรอบการทำงานทั้งหมดของกสทช.เพราะหากไม่ชัดเจนแล้ว เมื่อนำไปสู่แผนปฏิบัติงานแล้ว อาจเกิดปัญหาและข้อกังขาของสังคมได้ อีกทั้งกสทช.มี ที่มาของแต่ละคนแตกต่างกัน การจะหลอมรวมความคิดของกรรมการทั้ง 11 คน เป็นเรื่องที่ยาก ที่จะกำหนดทิศทางการทำงานให้ไปในทิศทางเดียวกัน
“จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มีกทช.แค่ 7 คน การตัดสินใจหรือดำเนินการต่าง ๆ ยังใช้ต้องใช้เวลา จนถูกเรียกว่า 7 คน 7 อย่าง แล้วกสทช. มี 11 คน ซึ่งแต่ละคนมาจากที่แตกต่างกัน มีความคิด ความเห็นที่แตกต่างกัน แต่เมื่อมาทำงานร่วมกันแล้ว จะต้องพยามปรับความเห็นให้ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งในช่วงแรกอาจยุ่งยากมาก แต่เชื่อว่าเมื่อเข้ามาทำงานไประยะหนึ่ง กสทช.ทั้ง 11 คนก็คงจะปรับตัวได้”
ส่วน เรื่องยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ถึงที่สุดนั้น นายสุรนันท์ กล่าวว่า ได้ยื่นอุทธรณ์ไปแล้วเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยศาลได้รับเรื่องเข้าสู่การกระบวนไต่สวนเมื่อวันที่ 5 ก.ย. ฉะนั้นก็คงต้องรอคำตัดสินพิพากษาจากศาลปกครองสูงสุด จึงจะเป็นที่สิ้นสุด แม้จะได้ตัว 11 กสทช.แล้ว แต่ล่าสุดศาลปกครองสูงสุด รับคำร้องอุทธรณ์ฉุกเฉินคดีที่กทช.ยื่นฟ้องว่ากระบวนการสรรหาไม่โปร่งใส
"โดยประเด็นที่ยื่นเห็นว่าคำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ยกฟ้องคดีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ฟ้องว่ากระบวนการสรรหากสทช.ไม่โปร่งใส นอกจากนี้ยังเห็นว่า คำแถลงคดีของตุลาการนอกสำนวน และคำพิพากษา ยังแตกต่างกันชัดเจน"