ตลาด โมบายเพย์เมนต์ในไทยยังเตาะแตะ คนใช้แค่หยิบมือ "เอ็มเปย์-ทรู มันนี่" ดันสุดตัว ปูพรมพัฒนารูปแบบบริการใหม่ ๆ รุกโปรโมตกระตุ้นการใช้งาน มั่นใจอีกไม่เกิน 2 ปีอนาคตใสปิ๊งตามเทรนด์ "สมาร์ทโฟน-3G" แจ้งเกิด ดึงแบงก์พาณิชย์ดันอีกแรง


นายสุปรีชา ลิมปิกาญจนโกวิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดวานซ์ เอ็มเปย์ จำกัด บริษัทในเครือเอไอเอส กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ความนิยมในการใช้งานสมาร์ทโฟนในปัจจุบันผลักดันให้การทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์ มือถือได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นด้วย โดยในปีนี้เอ็มเปย์คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ล้านบาท

จาก ปีที่ผ่านมาทำได้ 2,100 ล้าน บาท ซึ่งในแง่จำนวนครั้งของการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นถึง 200% มีอัตราเฉลี่ย 15-16 ล้านครั้ง/เดือน เฉพาะการชำระค่าบริการต่าง ๆ (โมบายเพย์เมนต์) มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 9% หรือ 270 ล้านบาท (ค่าบริการเฉลี่ย 10 บาท/ครั้ง) มีฐานลูกค้าประมาณ 7 แสนเลขหมาย

"ในแง่มูลค่าตลาดโมบายเพย์เมนต์ใน เมืองไทยยังเล็กอยู่ อาจเพราะบ้านเรามีสาขาธนาคารและตู้เอทีเอ็มเยอะมากทั่วทุกพื้นที่ ทำให้คนไทยไม่ต้องการหรือไม่เรียนรู้การใช้บริการประเภทนี้ และอีกบางส่วนไม่เชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการทำธุรกรรมผ่านมือถือ"

สำหรับ กลยุทธ์ในการทำตลาดของเอ็มเปย์ในปีนี้จะเน้นไปใน 2 เรื่องหลัก คือ การปรับรูปแบบเมนูบนสมาร์ทโฟนและบนเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อให้ใช้งานายขึ้น และถัดมาเป็นการเน้นโปรโมตบริการผ่านแมสมีเดียเพิ่มมากขึ้น โดยได้ตั้งงบประมาณด้านการตลาดไว้ในปีที่ 20 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายในการเพิ่มอัตราการใช้โมบายเพย์เมนต์มากกว่าการเพิ่มฐาน ลูกค้า

นายสุปรีชากล่าวต่อว่า หากเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 3 จีเกิดได้ภายในปีนี้คงทำให้ตลาดโมบายเพย์เมนต์เติบโตอย่างเห็นได้ชัดภายใน กลางปี 2555 อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้โมบายเพย์เมนต์เติบโตมาจากทั้งฝั่งธนาคาร 70-80% เพราะดูแลด้านการเงิน จึงจำเป็นต้องออกมาทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น ส่วนโอเปอเรเตอร์มีผล 20-30% ในการพัฒนาบริการที่ดี ซึ่งทั้งคู่ควรร่วมมือกัน กำหนดมาตรฐานการให้บริการในทางเดียวกัน

"แบงก์ ชาติกำลังพยายามเป็นตัวกลางในการส่งเสริมการกำหนดมาตรฐานดังกล่าว ผ่านนโยบายสนับสนุนอีมันนี่ เพื่อลดการใช้เงินสด ซึ่งในภาพรวมมีโอกาสเติบโตได้อีกมากเพราะหลายฝ่ายช่วยกันผลักดัน เช่นเดียวกับการรับรู้ของผู้บริโภคคนไทยที่มีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ โดยมีกระแสความนิยมในการใช้งานดาต้าผ่านสมาร์ทโฟนเป็นตัวกระตุ้น"

ด้าน นายปิยชาติ รัตน์ประสาทพร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด บริษัทในเครือทรูคอร์ปอเรชั่น กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ"ว่า ทรูมันนี่พยายามกระตุ้นการใช้โมบายเพย์เมนต์ทั้งกับการหาลูกค้ารายใหม่อย่าง ต่อเนื่อง และการเพิ่มปริมาณการใช้งานของฐานลูกค้าเดิม โดยเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการสะดวก และง่ายยิ่งขึ้น

โดยเร็ว ๆ นี้กำลังจะมีแอปพลิเคชั่น ใหม่ของทรูมันนี่บนโทรศัพท์สมาร์ทโฟนออกมาเพื่อขยายฐานลูกค้า รวมถึงมีการออกบริการเสริมแบบใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

"กระแสการทำ ธุรกรรมการเงินผ่านมือถือมาแล้ว แต่ถ้าจะให้มีการใช้งานแพร่หลายคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก คาดว่าไม่เกิน 2 ปีนี้ เพราะเทรนด์มาแน่ ทั้งจากความนิยมในการใช้สมาร์ทโฟน และการมาถึงของ 3 จี"

นายปิยชาติกล่าวต่อว่า ในระหว่างนี้คงต้องใช้วิธีออกบริการเสริมรูปแบบพิเศษให้คนหันมาสนใจใช้โมบาย เพย์เมนต์ไปพลางก่อน เพราะคนไทยยังใช้โทร.เข้าโทร.ออกมากกว่าใช้ดาต้า จึงยังไม่ชินกับโมบายเพย์เมนต์ ทั้งในบ้านเรายังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นแบงก์หรือเคาน์เตอร์เซอร์วิส และจุดชำระเงิน ต่าง ๆ ค่อนข้างทั่วถึง ทำให้ผู้บริโภคไม่เห็นความจำเป็นในการใช้มือถือจ่ายเงิน

ขณะ ที่นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการกลุ่มบริการเสริม บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น กล่าวว่า ในมุมของดีแทคมองว่าบริการธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นบริการ ของธนาคาร โดยมีผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือช่วยเสริม หากจะทำให้บริการดังกล่าวได้รับความนิยม ฟากธนาคารต้องเข้ามาทำตลาดจริงจัง เช่น เพิ่มฟีเจอร์การใช้ หรือลดต้นทุนการให้บริการลง

สำหรับดีแทคมี บริการที่เรียกว่า "เอทีเอ็มซิม" เปิดตัวมาแล้วประมาณ 6 ปี มีลูกค้าใช้งาน 5-6 แสนคน เป็นการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือประเภทฟีเจอร์โฟน

แต่ปัจจุบันได้พัฒนาแอปพลิเคชั่น Mobile Banking Plus ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย ใช้ผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟนได้ทันทีง่ายกว่า "เอทีเอ็มซิม"